ครั้งแรกในรอบ 100 ปี สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยังเลือกประธานไม่ได้

ผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ทำให้สภาคองเกรสมีสัดส่วนจำนวน ส.ส. จากพรรคเดโมแครตลดลง ทำให้พรรครีพับลิกันกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาล่างได้อีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามครอบครองสองสภามาตลอด 2 ปี

การเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรเกิดขึ้นในวันอังคารที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ชุดใหม่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งหลังจากที่มีการลงมติโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรมาหลายครั้ง แต่ไม่สามารถเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากมี ส.ส. บางคนในพรรครีพับลิกันที่ไม่ยอมลงเสียงสนับสนุนนายเควิน แมคคาร์ธี ที่เป็นแกนนำของพรรค ทำให้คะแนนเสียงที่ได้ยังไม่เกินกึ่งหนึ่งหรือ 218 เสียงของจำนวนผู้แทนฯ ถึงแม้ว่าพรรครีพับลิกันได้ครองเสียงข้างมากในสภาล่าง โดยมีจำนวน 222 ที่นั่งก็ตาม ทำให้ขณะนี้สหรัฐฯ ยังไม่มีประธานสภาล่างอย่างเป็นทางการ

ผลกระทบที่เกิดขึ้น

  • สหรัฐฯ ไม่สามารถจัดการประชุมสภาผู้แทนฯ ได้ จนกว่าจะมีประธานสภาฯ เพราะจะต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นทั้งประธานสภาฯ และผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติ
  • ในกรณีมีเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือวิกฤตความมั่นคงของประเทศ กระบวนการนิติบัญญัติไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้และไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายหรือลงมติได้
  • สภาผู้แทนฯ ไม่สามารถทำหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลของรัฐบาลกลางหรือหน่วยงานอื่นใดได้
  • สรุปว่ากระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการร่างและออกกฎหมายหยุดชะงักในทันที แต่อย่างไรก็ดีหากไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องอาศัยการลงมติของสภาฯ เพื่อผ่านข้อกฎหมายในระดับต่าง ๆ แล้วนั้น ก็ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาพรวมจึงไม่ได้รับผลลบจากการขาดคนมานั่งเก้าอี้ประธานสภาฯ แต่หากว่าเรื่องราวดังกล่าวยังคงยืดเยื้อออกมา  ความล่าช้าที่เกิดขึ้นจะเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ในแง่ที่การออกใช้มาตรการบางอย่างทางเศรษฐกิจอาจมีผลบังคับใช้ไม่ทันเวลาที่ประเทศเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจก็เป็นได้
ดาวน์โหลดเอกสาร